โดย...นายสุพจน์ มณีรัตนโชติ รองผอ.สพท.นธ.เขต 2
นายทองต่อ พันธเสน ศึกษานิเทศก์ สพท.นธ.เขต 2
นางรดา ธรรมพูนพิสัย ศึกษานิเทศก์ สพท.นธ.เขต 2
การจัดการศึกษาปฐมวัยเป็นการจัดการศึกษาเพื่อให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพ โดยมุ่งส่งเสริมพัฒนาการทุกด้านอย่างสมดุล รวมทั้งการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่ดีงามให้แก่เด็ก โดยผ่านประสบการณ์เล่นและการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
ในปี พุทธศักราช 2546 ได้มีการประกาศหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย เพื่อเป็นแนวทางให้โรงเรียนอนุบาลหรือสถานเลี้ยงดูและพัฒนาเด็ก ได้จัดการศึกษาและอบรมเลี้ยงดูเด็กอย่างมีคุณภาพตามมาตรฐานของหลักสูตร จึงได้กำหนดให้มีการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาเฉพาะแต่ละแห่งที่เหมาะสม กับการพัฒนาและ การจัดการศึกษาให้แก่เด็กปฐมวัยในสถานศึกษานั้น ๆ อย่างมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ( บทนำ,สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ )
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546
ปรัชญาการศึกษาปฐมวัย
การศึกษาปฐมวัยเป็นการพัฒนาเด็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 5 ปี ( 5 ปี 11 เดือน 29 วัน )บนพื้นฐานการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ ที่สนองต่อธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กแต่ละคนตามศักยภาพ ภายใต้ บริบทสังคม วัฒนธรรมที่เด็กอาศัยอยู่ ด้วยความรัก ความเอื้ออาทรและความเข้าใจของทุกคน เพื่อสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตให้เด็กพัฒนาไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เกิดคุณค่าต่อตนเองและสังคม
หลักการ
1.ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกประเภท
2.ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและวิถีชีวิตของเด็กตามบริบทของชุมชน สังคมและวัฒนธรรมไทย
3.พัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นและกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัย
4.จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้สามารถดำรงชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพและมีความสุข
5.ประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัว ชุมชนและสถานศึกษาในการพัฒนาเด็ก
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี
จุดหมาย
มุ่งให้เด็กมีพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคล จึงกำหนดจุดหมายซึ่งถือเป็นมาตรฐานให้เด็กเกิดคุณลักษณะที่พึงประสงค์
คุณลักษณะที่พึงประสงค์สำหรับเด็กปฐมวัย อายุ 3 – 5 ปี
1.ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
2.กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน
3.มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
4.มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม
5.ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี การเคลื่อนไหวและรักการออกกำลังกาย
6.ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะสมกับวัย
7.รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
8.อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
9.ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
10.มีความสามารถในการคิดและแก้ปัญหาได้เหมาะสมกับวัย
11.มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
12.มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีทักษะในการแสวงหาความรู้
ระยะเวลาเรียน
ใช้เวลาในการจัดประสบการณ์ให้กับเด็ก 1 – 3 ปี การศึกษาโดยประมาณ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุของเด็กที่เริ่มเข้าสถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย
สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรู้ใช้เป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมให้กับเด็ก ความรู้สำหรับเด็กอายุ 3 – 5 ปี จะเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับ 1. ตัวเด็ก 2.บุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก 3.ธรรมชาติรอบตัวเด็ก 4.สิ่งต่างๆรอบตัวเด็ก
สาระการเรียนรู้กำหนดเป็น 2 ส่วน
1.ประสบการณ์สำคัญ
ประสบการณ์สำคัญเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาเด็กทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา ช่วยให้เด็กเกิดทักษะที่สำคัญสำหรับการสร้างองค์ความรู้ โดยให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์กับวัตถุ สิ่งของ บุคคลต่างๆที่อยู่รอบตัวรวมทั้งการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมไปพร้อมกันด้วย
2.สาระที่ควรเรียนรู้
สาระที่ควรเรียนรู้เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กที่นำมาเป็นสื่อ ในการจัดกิจกรรมให้เด็กเกิดการเรียนรู้ ไม่เน้นการท่องจำเนื้อหา ผู้สอนสามารถกำหนดรายละเอียดขึ้นเองได้ ให้สอดคล้องกับวัย ความต้องการและความสนใจของเด็ก โดยให้เด็กได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์สำคัญ ทั้งนี้อาจยืดหยุ่นเนื้อหาได้ โดยคำนึงถึงประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงของเด็ก
ลักษณะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
เด็กปฐมวัยเรียนรู้จากสิ่งที่เป็นรูปธรรม การปฏิบัติและการมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและบุคคลที่แวดล้อมเด็ก ดังนั้น สื่อและแหล่งการเรียนรู้ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ครูสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ความรู้สึกและเพิ่มพูนทักษะทางด้านต่างๆให้แก่เด็ก
สื่อที่เหมาะสมกับการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
1.เหมาะสมกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กในแต่ละช่วงวัย
2.มีความเป็นรูปธรรมสูง เด็กสามารถกระทำได้ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้
3.เชื่อมโยงโลกภายในและโลกภายนอกของเด็กได้ มีความหมายต่อการเรียนรู้
4.สามารถใช้ได้จริง ไม่เสี่ยงต่อการเกิดความรู้สึกล้มเหลวในการเรียนรู้ของเด็ก
5.มีจุดประสงค์ของการนำไปใช้แน่นอนว่า ใช้เพื่ออะไรและใช้อย่างไร
6.สร้างความสนุกสนาน จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์และมีความสุขในการเรียนรู้
การประเมินพัฒนาการ
1.ประเมินพัฒนาการครบทุกด้านเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง
2.ครูต้องสังเกตและประเมินพัฒนาการเด็กจากคุณลักษณะตามวัย ครูพบความผิดปกติต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว
3.นำข้อมูลการประเมินมาพิจารณาปรับปรุง วางแผนการจัดกิจกรรมและการจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพ
4.รายงานผลการประเมินให้กับผู้ปกครอง
ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินพัฒนาการ( ต้องเหมาะสมกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก )
1.แบบสังเกตพฤติกรรม
2.แบบประเมินพัฒนาการ
3. Portfolio
4.อุปกรณ์สำหรับบันทึกภาพหรือเหตุการณ์ต่างๆเพื่อจัดทำสารนิทัศน์
มาตรฐานการศึกษาปฐมวัย
1.มาตรฐานด้านคุณภาพเด็ก ( มาตรฐานที่ 1 – 8 )
2.มาตรฐานด้านการจัดการเรียนรู้( มาตรฐานที่ 9 – 10 )
3.มาตรฐานด้านการบริหารและการจัดการศึกษา ( มาตรฐานที่ 11- 16 )
3.มาตรฐานด้านการพัฒนาชุมชนแห่งการเรียนรู้ ( มาตรฐานที่ 17 – 18 )
จากการประชุมปฏิบัติการเสริมสมรรถนะศึกษานิเทศก์ที่รับผิดชอบงานการจัดการศึกษาปฐมวัย ในระหว่างวันที่ 21-26 กุมภาพันธ์ 2553 ณ โรงแรมเอเชียแอพอร์ท กรุงเทพมหานคร
ประธานพิธีเปิดโดย ดร.ชินภัทร ภูมิรัตน์ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ความเห็นว่า รัฐดูแลการศึกษาปฐมวัย น้อยเกินไปทั้งๆที่บอกว่าปฐมวัยคือรากฐานของชีวิต จนต้องมีโครงการเพื่อรณรงค์เช่น ส่งเสริมรักการอ่าน การเรียนรู้ตลอดชีวิต Play and Learns เป็นตัวสะท้อนแนวการจัดประสบการณ์ได้ดี ไม่เน้นให้อ่านและเขียนเร็วเกินไป จึงเกิดความขัดแย้งในแนวคิด ทฤษฏี ปฏิบัติ กับความต้องการของผู้ปกครอง การดูแลเอาใจใส่ปฐมวัยอย่างจริงจังคือกุญแจนำไปสู่ความสำเร็จของการปฏิรูปการศึกษาและมีความเห็นโดยสรุปว่า การศึกษาปฐมวัยคุ้มค่าต่อการลงทุนของรัฐบาลเพราะมีความเชื่อว่า “การป้องกันดีกว่าการแก้ไขปัญหา“ การเตรียมความพร้อมระดับปฐมวัย เป็นการป้องกันปัญหาทั้งหมด ดังนั้นควรเน้น การส่งเสริมระบบนิเทศการศึกษา
แก่นแท้นวัตกรรมการสอนภาษาแบบธรรมชาติ ( Whole Language Approach) ให้ความรู้โดย ดร.นฤมล เนียมหอม คบ, คม, คด, การศึกษาปฐมวัย โรงเรียนทุ่งมหาเมฆ กทม. เขต 1 ได้ให้ความรู้ว่า การสอน ภาษาแบบธรรมชาติ ปรัชญาและระบบความเชื่อที่ทำให้เกิดการสอนภาษาโดยองค์รวม ทฤษฏี การเรียนรู้ที่มีอิทธิพลได้แก่
Dewey: เด็กเรียนรู้ภาษาจากประสบการณ์และการลงมือกระทำ ( เรียนอ่านด้วยการอ่าน เรียนเขียนด้วยการเขียน เรียนการฟังจากให้ฟัง ) ไม่ใช่ให้นักเรียนเรียนการอ่านด้วยวิธีการฟัง
Piaget: กระบวนการก้าวห่างของแต่ละขั้น ( ขั้นซึมซับประสบการณ์ ขั้นสงสัยทำให้เกิดความสมดุล การปรับโครงสร้างทางสติปัญญา )
Vygotsky: การถ่ายทอดทางสังคม
โดยเชื่อมั่นว่า เด็กจะสามารถอ่านและเขียนได้ดีขึ้นและถูกต้องยิ่งขึ้น ตอบสนองต่อการใช้ภาษา ของเด็กอย่างเหมาะสมโดยไม่คาดหวังให้เด็กอ่านและเขียนได้อย่างผู้ใหญ่ เด็กมีโอกาสอ่านเขียนอย่าง มีจุดมุ่งหมายจริงๆในชีวิตประจำวัน โดยมีครูเป็นแบบอย่างที่ดี หากเด็กเขียนผิดครูจะแสดงตัวอย่างที่ถูกต้องให้เด็กดูในโอกาสที่เหมาะสม
กิจกรรมการเรียนการสอน เช่น
- สนทนาข่าวและเหตุการณ์
- อ่านออกเสียงให้เด็กฟัง ( มีช่วงเวลานิทาน กลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย )
- การเล่าเรื่องซ้ำ ( เด็กต้องมีประสบการณ์ในการฟัง )
- การอ่านร่วมกัน
- การสอนอ่านแบบชี้แนะ
- อ่านอิสระ
- อ่านเงียบ ๆตามลำพัง ( ใช้เวลาประมาณ 5 นาที )
- การเขียนร่วมกัน ( อาจเขียนก่อนหรือหลังการทำกิจกรรม )
- เขียนอิสระ ( ครูต้องเคารพการเขียนของเด็ก เด็กจะเขียนอะไรก็ได้ เป็นตัวอักษรหรือไม่ก็ได้ )
การสอนแบบโครงการ ( Project )
ความหมาย : การศึกษาอย่างละเอียดลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งของ เด็กทั้งห้อง / เด็กกลุ่มเล็ก / รายบุคคล
ขั้นตอนการสอน แบ่งเป็น 3 ระยะคือ ระยะเริ่มต้น ระยะพัฒนา สรุป
ลักษณะโครงสร้าง 5 ขั้นตอน
1. การอภิปรายกลุ่ม ( ที่ตนเองทำกับเพื่อน กลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ )
2. การทำงานภาคสนาม ( เป็นประสบการณ์เรียนรู้ขั้นแรก )
3. การนำเสนอประสบการณ์เดิม ( เป็นการทบทวนโดยการเขียนวาดภาพ สัญลักษณ์ คณิตศาสตร์ เป็นที่มาของการเขียนแผนการจัดประสบการณ์ สิ่งที่เด็กรู้แล้ว สิ่งที่อยากรู้ สิ่งที่ควรรู้ )
4. การสืบค้น
5. การจัดแสดง
การสอนแบบมอนเทสซอริ ( Montessori ) ผู้ให้ความรู้คือ ดร.อรพรรณ บุตรกตัญญู อาจารย์ประจำภาควิชาการศึกษา สาขาการศึกษาปฐมวัย ม.เกษตรศาสตร์
หัวใจของการสอนแบบมอนเทสซอริ คือ สื่อและอุปกรณ์ให้เด็กได้ฝึกปฏิบัติ โดยอุปกรณ์ไม่ใช่แค่มี แต่พร้อมใช้และต้องรู้วิธีว่าใช้อย่างไร เน้นการศึกษาด้านประสาทสัมผัสโดยมีจุดมุ่งหมายฝึกประสาทสัมผัส เนื้อหาประกอบด้วย สี มิติ
การตระเตรียมสำหรับการเขียนและคณิตศาสตร์สำหรับกลุ่มวิชาการ
- มีจุดมุ่งหมายเพื่อการเตรียมตัวสู่ระบบการศึกษา เนื้อหา เน้นการอ่านการเขียน เป็นการนำ ไปสู่การเรียนคณิตศาสตร์
- อุปกรณ์มอนเทสซอริ เช่น หอคอยสิชมพู ( เรียนรู้เรื่องขนาด )
- ตัวอักษรกระดาษทราย ( ทิศทางตัวอักษรที่ถูกต้องเชื่อว่าหากเด็กใช้นิ้วสัมผัสกระดาษทราย จะทำให้เด็กจำได้จนขึ้นใจ )
ที่สำคัญที่สุด ครูต้องรู้วิธีการใช้และแสดงการใช้อุปกรณ์ได้อย่างเหมาะสม
การสอนตามแนวคิดของวอลดอร์ฟ ผู้ให้ความรู้คือ ดร.อภิสิรี จรัญชวเมท เป็นการพัฒนาพื้นฐานก่อนเข้าสู่ชั้นประถมปีที่ 1 หลักของการจัดกิจกรรมของวอลดอร์ฟ “เธอเป็นแม่อย่างไร จัดห้องเรียนอย่างนั้น” นำมาเชื่อมโยงงานวิชาการ ( ฝึกเตรียมอาหาร การจัดห้องนอน ) จัดโรงเรียนอนุบาลเหมือนบ้านตนเอง โดยมีข้อสังเกต เด็กอยากทำหน้าที่จนสำเร็จหรือไม่ ครูมีหน้าที่สนับสนุนการศึกษา ( ครูทำหน้าที่เหมือนแม่ )
การขับเคลื่อนการนิเทศสู่การพัฒนาการจัดการศึกษาปฐมวัย ผู้ให้ความรู้คือ นายพิสิษฐ์ เทพดวงแก้ว ( ศน.เชี่ยวชาญ ) เชียงราย เขต 1 ในกระบวนการนิเทศต้องทำการศึกษา วิเคราะห์ ว่าครูต้องการพัฒนาอะไรและนำนโยบายรัฐบาลมาพิจารณาร่วมด้วยโดยตั้งจุดมุ่งหมายหัวข้อในการพัฒนา หากเป็นเรื่องการจัดประสบการณ์ เราต้องสร้างเครื่องมือในการนิเทศ การปฏิบัติการนิเทศใช้วิธีการนิเทศรวม (ประชุมอบรม )
โดยใช้ครูแกนนำ ครูที่มีความสามารถเข้ามาร่วมในการนิเทศ สิ่งที่ติดตามจะติดตามเรื่องที่ สพท.จัดอบรม ให้ความรู้ การนิเทศเป็นการติดตาม ช่วยเหลือตรงจุดที่ต้องพัฒนาพร้อมกับมีเครื่องมือในการเก็บข้อมูล นั่นคือ การทำงานต้องอิงหลักการ ในการรายงานบนพื้นฐาน โดยใช้รูปแบบมุ่งอนาคต นั่นคือต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาเต็มศักยภาพ ยึดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของหลักสูตรปฐมวัย พ.ศ. 2546 เป็นหลัก โดยเน้นให้ครูปฐมวัยเล็งเห็นคุณลักษณะของเด็ก แต่ละคนอย่างชัดเจนและสามารถพัฒนาให้ถึงความสามารถสูงสุด
Book start หนังสือเล่มแรกสำหรับโครงการพัฒนาพ่อแม่ ผู้ปกครอง บรรยายโดยอาจารย์เรืองศักดิ์ ปิ่นประทีป ให้ความรู้ดังนี้
เด็กแรกเกิดถึง 6 ปี สมองโตไปแล้วกว่า 80 % เมื่อเราจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในระดับประถมศึกษาเป็นการจัดที่สายเสียแล้ว ให้เด็กเกิดนิสัยรักการอ่านได้แต่เหนื่อยมากเพราะต้องมีตัวล่อ ( อ่าน 10 เล่มได้ดินสอ 1 แท่ง ฯลฯ ) เพราะนิสัยถาวร ( 0 – 6 ปี ) ได้หายไป แต่การอ่านที่ถูกบังคับไม่ได้ก่อให้เกิดนิสัยรักการอ่านถาวร จากการวิจัยการอ่านหนังสือให้ฟังหรือส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ควรเริ่มตั้งแต่อายุ 6 เดือน ถึง 6 ปี ช่วงเวลานี้ เป็นช่วงพัฒนาการอ่านที่ดีมาก สำหรับหนังสือเล่มแรก อยากให้เด็กมีสมรรถนะตามวัย เราจะต้องทำ 4 อย่างนี้เป็นประจำ คือ 1.เสียงเพลงและดนตรี 2.ศิลปะ 3.กิจกรรมเคลื่อนไหว 4.เล่านิทาน อ่านหนังสือ
การปลูกฝังให้เด็กเป็นนักอ่านที่ดีต้องมี 11 ... 7 อย่า
1.ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี 2.ต้องมีมุมหนังสือในบ้าน/ห้องเรียน 3.ต้องเลือกหนังสือตามวัย 4.ต้องใส่ใจชวนกันไปอ่าน 5.ต้องชื่นชมกันเสมอ 6.ต้องนำเสนออย่างมีความสุข 7.ต้องหากิจกรรมสนุก ๆมาประกอบ 8.ต้องต่อยอดทางความคิด ( เช่น ถามเรื่องจากภาพ ) 9.ต้องไม่คิดถึงวัย ( ไม่คำนึงว่าอายุ 6 เดือน ) 10.ต้องใช้เวลาพอดี ( อย่างเล่าครึ่งเรื่องแล้วพรุ่งนี้ค่อยเล่าต่อ.. เด็กจะเรียนรู้การผลัดวัน ประกันพรุ่ง ) 11.ต้องมีระเบียบชีวิต
...7 อย่า ได้แก่ 1.อย่ายัดเยียด 2.อย่าหวังสูง ( เด็กชอบอ่านจะมีผลการเรียนดีเยี่ยม ) 3.อย่ากังวล ( ว่าเด็กจะฉีกหนังสือ ) 4.อย่าจ้องสอน ( ในการให้เริ่มอ่านครั้งแรก ๆ อ่านให้จบก่อน อย่ามัวแต่สอน เด็กจะไม่สนุก ) 5.อย่าถามมาก 6.อย่าขัดคอ ( หากเด็กเล่าย้อนกลับไม่ตรงกับเรื่อง ) 7.อย่าเบื่อหน่าย
สารนิทัศน์ในระดับปฐมวัย บรรยายโดย รศ. ดร.พัชรี ผลโยธินและดร.วรนาท รักสกุลไทย
สารนิทัศน์เป็นการจัดทำข้อมูลที่จะเป็นหลักฐานหรือแสดงให้เห็นร่องรอยของการเจริญเติบโต พัฒนาการและการเรียนรู้ สารนิทัศน์ มองได้สองส่วน คือ กระบวนการและเนื้อหา
ความสำคัญ สามารถพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาได้อย่างมีระบบ ให้อำนาจครูในการกำหนดเป้าหมาย บทบาทในการพัฒนาและการประเมินตนเอง
ประเภทของสารนิทัศน์
- การบรรยายเกี่ยวกับเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่เด็กได้รับ
- การสังเกตและบันทึกพัฒนาการเด็ก
- พอร์ตโฟลิโอ สำหรับเด็กเป็นรายบุคคล
- การสะท้อนตนเองของเด็ก
- ผลงานรายบุคคลและรายกลุ่ม
การบูรณาการการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ผ่านดนตรี ในระดับอนุบาล ( สสวท. )
การสอนเพลง ควรมีกิจกรรมประกอบ เด็กจะได้รับรู้ถึงจังหวะ กิจกรรม มีความคิดสร้างสรรค์จากการออกแบบการทำกิจกรรม
องค์ประกอบที่สำคัญของดนตรี มี 2 ส่วน คือ เสียงและจังหวะ การจัดกิจกรรมในส่วนของจังหวะ เช่น นับจังหวะในเพลงแล้วใช้สัญลักษณ์แทนการนับจังหวะ ซึ่งสามารถสอดแทรกการสอนวิทย์-คณิตฯ ในเรื่องของการนับ รูปทรง แบบรูป สัญลักษณ์ การเชื่อมโยง
การพัฒนาศักยภาพทางภาษาด้วย Big Book โดย อาจารย์สุวรรณา ชีวพฤกษ์
กิจกรรมการสอนภาษาโดยใช้หนังสือเล่มใหญ่
1.กิจกรรมการอ่านร่วมกัน มีการเตรียมตัวให้เด็กดูรูปเพื่อเชื่อมโยงกับชื่อเรื่อง ให้เด็กมีการคาดเดา ซึ่งเด็กจะคาดเดาได้ต้องมีทักษะการสังเกต การอ่านและชี้ไปทุกวลีแล้วจึงมาดูภาพรวม
2.ทำกิจกรรมส่งเสริมเนื้อหาหรือรูปภาพที่ปรากฏในหนังสือโดยเล่นบทบาทสมมุติ
3.กิจกรรมการอ่านแบบชี้แนะ
4.ให้เด็กมาเป็นคุณครู
5.กิจกรรมการเล่นเกมภาษา
6.กิจกรรมการอ่านข้อความตามโอกาส
7.กิจกรรมการอ่านหนังสือที่บ้าน